เทศน์เช้า

ปัญญาฆ้อน

๖ พ.ค. ๒๕๔๔

 

ปัญญาฆ้อน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปฏิบัติธรรมน่ะ บวชเรียนเพื่อให้เข้าถึงหลักของธรรมะพระพุทธเจ้า เรียนภาษาธรรมเรียนอีกอย่างหนึ่ง เรียนภาษาโลก เห็นไหม เดี๋ยวนี้คนฉลาดขึ้นมากเลยเพราะการศึกษาเล่าเรียนมีมาก เพราะการศึกษาแล้วคนฉลาดขึ้น คนฉลาดขึ้นแต่คนก็มีความทุกข์มากขึ้น ความทุกข์ของคนไง ความทุกข์ของคนแล้วก็เอาความฉลาดของเรานี่ ยิ่งเรียนเข้าไปตัวตนของเรายิ่งมากขึ้น เพราะถือว่าตัวเองรู้ไง ถ้าตัวเองรู้ตัวเองฉลาด ฉลาดอย่างไร? ฉลาดแกมโกง ฉลาดเพื่อเอาชนะเขา ไม่ฉลาดเพื่อเอากิเลสออกจากใจ

มันเหมือนกันไง เหมือนกับว่าเรามีฆ้อนอยู่ด้ามเดียว การก่อสร้างบ้านเรือนนี่ฆ้อนด้ามเดียวจะปลูกบ้านสำเร็จเป็นไปไม่ได้หรอก อันนี้ก็เหมือนกัน คิดว่าตัวเองฉลาดไง เหมือนเรามีฆ้อนอยู่ด้ามเดียว คำบริกรรม คำคิด คำพิจารณาของตัวเองนี่เหมือนฆ้อนด้ามหนึ่ง ทำความสงบเข้ามาได้ ทุบอะไรก็แล้วแต่ ทุบตีเข้ามาให้เข้ารูปเข้ารอยตีได้อยู่ แต่ทำงานให้ละเอียดกว่านั้นเป็นไปไม่ได้

นี่ความฉลาดของเรา เราว่าเราฉลาดไง เราฉลาดเท่าไหร่เราก็เอาความนั่นน่ะยึดมั่นถือมั่นตัวเองขึ้นมา ให้ตัวตนของเรามันใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ความฉลาดของเรานี่ ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาโลกียะ นี่คำว่าปัญญาโลกียะ จะว่ามันไม่ใช่ผลเลยมันก็เป็นผลนะ ถ้าไม่มีตัวนี้เลยนี่เราจะปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เขาบอกว่าการจะถือศีลนี่ต้องมีปัญญา ถึงฉลาดถึงถือศีลรอด ถึงถือศีลไปได้ ปัญญาความใคร่ครวญนี่มันปัญญาความเห็นผิดเห็นถูก ทีแรกนี่มันเห็นถูกเห็นผิดในทางความเห็นของตัว

แต่ถ้าเป็นปัญญาภายในมันใช้ตัวนี้ไม่ได้ ถ้าตัวนี้เข้าไปนี่ความเห็น คำว่า “ความเห็น” มันมีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนี่ ตัวเราคือตัวกิเลส ถ้าตัวกิเลสตัวผลักไส ตัวพยายามเบี่ยงเบนประเด็นไง ความเบี่ยงเบนประเด็นอันนั้นน่ะ เห็นไหม ถ้าคำบริกรรม คำคิด คำพิจารณาเข้ามานี่มันเหมือนฆ้อนด้ามหนึ่ง ฆ้อนด้ามหนึ่งพยายามตีให้เราสงบเข้ามา ตีตัวเองเข้ามา สิ่งใดที่มันพอง สิ่งใดที่มันสูงขึ้นมานี่ ตีให้มันเสมอกันได้

แต่ที่ว่าความประกบเข้าไปนี่ เครื่องมือเราต้องมีมากกว่านั้น เครื่องมือมากกว่านั้นมันจะเป็นเครื่องมืออะไรล่ะ เครื่องมือมันก็เป็นปัญญาของอริยมรรคที่จะเข้าไปอันนั้น นี่ความละเอียดอ่อนอันนั้นมันยังไม่เกิดขึ้น แล้วมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ความว่าเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกิดขึ้นได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส เรียนกับนักปราชญ์ทั่วไปในอินเดียสมัยนั้นนะ พระพุทธเจ้าไปเรียนหมด นักปราชญ์ราชบัณฑิตนี่ต้องรู้เรื่องต่าง ๆ ทั้งหมด แต่รู้แล้วก็รู้อยู่ในกรอบของถังขยะ ที่อาจารย์พูดว่า “ถังขยะ” ในกรอบของขันธ์ไง ในกรอบของขันธ์ ๕

แล้วพอกรอบของขันธ์ ๕ นี่ ความสงบของมันมันไม่พอ ความบริสุทธิ์ไม่พอมันทำอะไรไม่ได้ ความทำไม่ได้ เห็นไหม ศีล ความที่มีศีล ถ้ามีศีลบริสุทธิ์ขึ้นมาเหมือนกับมือเราสะอาด มือเราไม่มีแผล เราจะเข้าไปทำอะไรในยาพิษมือเราก็เข้าไปล้วงได้ เข้าไปจับได้ ทำความสะอาดได้ ถ้ามือเรามีแผล ศีลไม่บริสุทธิ์ เห็นไหม ถ้ามือมีแผลขึ้นมานี่ไปทำอะไรเข้าไปมันก็เป็นแผล ไอ้กิเลสนั่นน่ะคือยาพิษ ยาพิษทำให้แผลนั้นเข้ากับยาพิษ

ความไม่บริสุทธิ์ของตัว เห็นไหม สัมมาสมาธิถึงมิจฉาสมาธิมีอยู่ มิจฉาสมาธิความสงบของเราเข้าไปนี่ นี้เรามีฆ้อนอยู่อันหนึ่งเราก็ทุบเข้าไป เราก็ตีเข้าไป เราตีเข้าไปเพื่อจะให้มันเข้ารูปเข้ารอย ศีลบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นี่ ถ้าเข้ารูปเข้ารอยศีลบริสุทธิ์ขึ้นมามันถึงจะทำความสะอาดได้ ถึงควรแก่การงานไง สัมมาสมาธิถึงควรแก่การงาน ถ้ามิจฉาสมาธิจะเอาอะไรไปทำงาน มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันเป็นสมาธิขึ้นมา มันเป็นแผลขึ้นมา แล้วลงไปเข้าไปทำ เห็นไหม เข้าไปทำงาน งานนั้นก็เป็นแผลขึ้นมา

ถ้าสัมมาสมาธิมันถึงจะไม่เป็นแผลขึ้นมา มันถึงว่างานของโลกเขา ถึงว่ามันจะไม่เป็นประโยชน์เลย เป็นไปไม่ได้ โลกียะมันก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เริ่มต้น สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญามันถึงมีไง ถึงมีโลกียะ มีโลกุตตระ ถ้าไม่มีโลกียะเลย มันจะโลกุตตระที่ไหน ถึงมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

สุตมยปัญญาทำให้เราเข้ารูปเข้ารอย ถ้าการไม่เข้ารูปเข้ารอยเลยนี่มันก็เริ่มต้นไม่ได้ ความเริ่มต้นอันนั้นจะเป็นผลก็ไม่ได้ ความเริ่มต้นเป็นความเริ่มต้น ทางผ่านนั้นเป็นทางผ่าน สิ้นสุดของทางผ่านนั้นถึงจะเป็นปัจจัย ถึงจะเป็นเหตุของมัน นี่ความเห็นของเราที่ว่าความฉลาดของเราคือความฉลาดของกิเลส ความฉลาดของกิเลสมันก็มีขึ้นมา ความฉลาดของกิเลสกับความฉลาดของเราเป็นอันเดียวกัน ถึงว่าต้องทำความสงบเข้ามาให้ได้ก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้

มันถึงว่าไม่ใช่ว่ามีฆ้อนอันเดียว ถ้ามีฆ้อนอันเดียวมันก็เหมือนกับมีฆ้อนอันเดียวทุบเข้าไป ๆ ทุบเข้าไปก็ทำความสงบเข้าไปอย่างเดียว นี้ความฉงนใจของเรามันไม่มี นี่ในหลักของศาสนาพุทธถึงสำคัญตรงนี้มากไง สำคัญที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เอง สยุมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง ไม่มีใครสามารถรู้ได้ แล้วถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่มีสิ่งนี้นะ อริยมรรคนี้ไม่มีหรอก

แต่เพราะปัจจุบันนี้เราอยู่ท่ามกลางศาสนา แล้วเราได้ยินได้ฟังประจำ เราถึงว่ามันไม่มีตรงไหนมันก็ได้ยินได้ฟังประจำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า “ไม่เคยได้ยินได้ฟังกับใครมา ตรัสรู้ด้วยตนเอง” แล้วทำเองเห็นเองขึ้นมา ถึงว่าเป็นเรื่องของภายใน

แต่ของเราเวลาเรารู้เราฟังขึ้นมานี่ มันเป็นความเห็น เป็นสุตมยปัญญา มันเทียบมันเคียงไง ความเทียบความเคียงอันนี้มันถึงจะไม่ได้ผล ความที่ไม่ได้ผลนี่มันถึงว่าเป็นปัญญาที่ว่าไม่ละเอียดเข้าไป มันเทียบมันเคียงเอาเอง มันไม่ใช่เกิดขึ้นจากความเป็นจริง ถ้าเกิดขึ้นจากความเป็นจริงเกิดขึ้นจากหัวใจ หัวใจมันประพฤติปฏิบัติเข้าไป แล้วมันประสบของมันเอง มันชำระของมันเอง

อันนี้มันถึงว่ามันเป็นปัจจัตตัง ถ้าเป็นปัจจัตตัง เป็นความจับต้องตัวเองได้แล้วพลิกตัวเอง ถ้าไม่เป็นปัจจัตตัง เป็นความเทียบเคียงนี่มันไม่เป็นประโยชน์กับเราหรอก มันเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเรื่องความหยาบเข้ามา ความละเอียดเข้ามา แต่ถึงว่าเป็นประโยชน์ตรงนั้นมันถึงไม่เป็น ถึงต้องออกป่า เห็นไหม ทำไมภิกษุผู้ปฏิบัติ ทำไมต้องออกในที่สงบ? ทำไมทำอยู่ในบ้านเมืองไม่ได้?

ในบ้านในเรือนน่ะ ถ้าคนจริงต้องทำอยู่ในคนมากก็ต้องทำได้สิ...ทำได้ ทำได้ส่วนหนึ่ง แต่ถึงส่วนหนึ่งทำไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะมันทำไม่ได้หรอก มันกวนไปมาก มันจะกวนมาก กวนให้ความสงบนี้ออกมา กวนให้ความรู้สึกออกรับรู้หมด มันแตกไง สิ่งที่มันละเอียดอ่อน เห็นไหมที่เขาทดลองวิทยาศาสตร์กัน ผู้ที่เขาจะเขียนนิทานเขียนนิยายเขาก็ต้องอาศัยความสงบ

อันนี้ก็เหมือนกัน เราต้องอาศัยความสงบพอสมควรจากข้างนอก แล้วข้างในถึงสงบเข้ามาถึงข้างใน ถึงอายตนะ ความตัดอายตนะสิ่งกระทบทั้งหมด ใจหนึ่งจะเป็นไป ถ้าใจมันเป็นไปมันถึงจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง ถ้าเป็นประโยชน์กับตัวเองแล้วนี่ถึงจะทำความสงบของใจก่อน แล้วรู้จริงเห็นจริงก่อน ออกมากระทบข้างนอกมันก็เป็นประโยชน์ ถ้าใจนั้นเป็นประโยชน์แล้วออกมาข้างนอกก็เป็นประโยชน์ ถ้าใจยังไม่เป็นประโยชน์ อยู่กับตัวมันเองมันก็ไม่เป็นประโยชน์

มือเป็นมือที่ไม่สะอาด มือที่มีบาดแผลเข้าไปล้างยาพิษ เข้าไปเพื่อทำความสะอาดของใจ กิเลสนั้นเป็นยาพิษทั้งหมด เข้าไปมันก็รวมหัวกันความเห็นว่า “จะเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ความเห็นเป็นอย่างนั้น” แล้วมันก็เป็นไป เวลาพูดเวลาคิดนี่ทุกคนพูดได้คิดได้นะ แต่เวลาประสบขึ้นมานี่เหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์น่ะ เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว “ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย ควรทำอย่างนั้นได้” แต่ขณะที่อยู่ในเหตุการณ์นี่เราตัดสินใจไม่ถูกหรอก

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)